
อาร์เยน ร็อบเบน (Arjen Robben) อดีตนักเตะทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เขาได้แจ้งเกิดกับ สโมสรโกรนิงเงิน (Groningen) และไปสร้างตำนานยังหลากหลายลีก หลากหลายสโมสรชั้นนำทั่วยุโรป ทั้ง สโมสรเปเอสเฟ ไฮน์โอเฟน (PSV Eindhoven) ในลีกเนเธอร์แลนด์ , สโมสรเชลซี (Chelsea) ในลีกอังกฤษ , สโมสรเรอัล มาดริด (Real Madrid) ในลีกสเปน และ สโมสรบาเยิร์น มิวนิค (Bayern München) ในลีกเยอรมัน เรียกได้ว่าแทบจะครบทุกลีกชั้นนำในวงการลูกหนังยุโรปเลยทีเดียว เขาลงเล่นในตำแหน่งปีก ขึ้นชื่อในเรื่องของความรวดเร็ว คล่องแคล่ว ว่องไว ปัจจุบันเขาได้อำลาวงการนักเตะอาชีพไปแล้ว เมื่อปี 2021 ด้วยวัย 37 ปี
ช่วงชีวิตนักเตะฝึกหัดในอคาเดมี
อาร์เยน ร็อบเบน เกิดเมื่อวันที่ 23 มกราคม ในปี 1984 ที่เมืองเบดุม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ชีวิตของเขาผูกพันกับฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากพ่อของเขามีธุรกิจเกี่ยวกับฟุตบอล และได้ส่งให้ ร็อบเบน เข้าเรียนในโรงเรียนด้านฟุตบอลโดยเฉพาะมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ในปี 1989 กับอคาเดมี เฟเฟ เบดุม (VV Bedum) ซึ่งสอนหลักสูตรที่เรียกว่า Coerver Method หรือหลักสูตรในเกมรุกที่นิยมมากในนักเตะชาวดัตช์ ซึ่งเป็นการผสมผสานจุดแข็งของตำนานแห่งลูกหนังอย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่า และ เปเล่ เข้าไว้ด้วยกัน ร็อบเบน จึงเป็นนักเตะที่ ว่องไวมาก อีกทั้งครองบอลได้อย่างดี รับส่งบอลได้อย่างแม่นยำ และจบสกอร์ได้อย่างเฉียบคม เขาฝึกฝนทักษะที่อคาเดมีแห่งนี้ยาวนานถึง 7 ปี
จนกระทั่งในปี 1996 เมื่อเขาอายุได้ 12 ปี อคาเดมีของ สโมสรโกรนิงเงิน (Groningen) ซึ่งเป็นสโมสรในลีก เอเรอดีวีซี ลีกสูงสุดของ เนเธอร์แลนด์ ได้ติดต่อทาบทามให้ ร็อบเบน เข้าไปเป็นนักเตะฝึกหัดที่นั่น ซึ่งเขาก็รีบคว้าโอกาส ได้เข้าไปฝึกฝนทักษะอยู่ในอคาเดมีของสโมสรดังในทันที จนในฤดูกาล 1999-00 สโมสรได้คัดเลือกให้เขาลงเล่นในทีมเยาวชนระดับซี และเขาก็ไม่ทำให้ต้นสังกัดผิดหวัง ด้วยการทำประตูได้อย่างถล่มทลายถึง 50 ประตูด้วยกัน
การแจ้งเกิดในสโมสรอาชีพแรกที่ โกรนิงเงิน

Yakubu (R) (Photo by VI Images via Getty Images)
หลังจากเขาสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมให้กับทีมเยาวชนแล้วนั้น แจน ฟาน ไดจค์ ผู้จัดการทีมชุดใหญ่ของ โกรนิงเงิน ในยุคนั้น ได้เรียกตัวให้เขา เข้าร่วมฝึกกับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกใน เดือนพฤศจิกายน ในปี 2000 จนได้ลงสนามกับทีมชุดใหญ่ครั้งแรกใน เดือนธันวาคม 2000 โดยลงเล่นเป็นตัวสำรองแทน ลีโอนาร์โด้ ดอส ซานโตส ที่ได้รับบาดเจ็บ ในเกมลีก นัดที่พบกับ สโมสรแอกาซี วาลไวจ์ค (RKC Waalwijk)
ซึ่งในฤดูกาล 2000-01 เขาได้ลงเล่นในฐานะนักเตะตัวจริงอย่างเต็มตัวต่อเนื่อง และแม้จะลงสนามเพียงแค่ 18 นัด และทำประตูได้ 2 ประตู แต่ด้วยทักษะที่เหนือชั้น ผสานความว่องไวที่เขามี ทำให้เขาได้รับรางวัล นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี ในฤดูกาลนั้นไปครอง
ต่อมาในฤดูกาล 2001-02 เขาเป็นนักเตะที่โด่งดังอย่างมากใน เนเธอร์แลนด์ จากความว่องไว คล่องแคล่ว และพรสวรรค์ที่ได้ระเบิดออกมา ทำให้ในฤดูกาลนั้น เขาลงเล่นไปเพียงแค่ 18 นัด และทำไปประตูไปได้ 8 ประตู จนทำให้เขาเนื้อหอมสุดๆ จนกระทั่งในปี 2002 สโมสรเปเอสเฟ ไฮน์โอเฟน (PSV Eindhoven) ได้เข้ามาทาบทามเขาในที่สุด
คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองกังหันลม ที่ เปเอสเฟ ไฮน์โอเฟน
ปี 2002 ฤดูกาล 2002-03 ในขณะที่เขาอายุได้ 18 ปี ได้ย้ายสโมสรมายัง เปเอสเฟ ไฮน์โอเฟน (PSV Eindhoven) ซึ่งอยู่ในลีก เอเรอดีวีซี ลีกสูงสุดของ เนเธอร์แลนด์ เช่นกัน ด้วยค่าตัวสูงถึง 4.2 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 170 ล้านบาท ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า เป็นค่าตัวที่สูงมากสำหรับนักเตะหน้าใหม่วัยแค่ 18 ปี แต่เขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพฝีเท้าของเขา ด้วยการลงเล่นตลอดฤดูกาลแรกไป 33 นัด และทำประตูไปได้ 12 ประตู และเป็นส่วนสำคัญที่พาทีมคว้า แชมป์ลีกสูงสุดของเนเธอร์แลนด์ มาครองได้เป็นสมัยที่ 17 อีกด้วย จนเขาได้รับรางวัล นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรเปเอสเฟ ไฮน์โอเฟน และ นักเตะผู้มีความสามารถยอดเยี่ยมประจำปี อีกด้วย
แต่แล้วในฤดูกาลถัดไป เขากับต้องเจอกับมรสุมที่กระหน่ำเขามา ด้วยการพลาดเสียแชมป์ลีกสูงสุดให้กับ สโมสรอายักซ์ อัมเตอร์ดัม ทีมคู่อริ และเขายังได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าถึง 2 หนจนต้องพักยาว และพลาดการลงสนามไปหลายนัด และนอกเหนือจากนั้น เขายังเป็นนักเตะที่แฟนบอลต่างเรียกเขาว่า “เดอะ แมน ออฟ กลาสส์” หรือ “นักเตะกระดูกแก้ว” ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกล้อเลียนเขาที่แกล้งพุ่งล้มบ่อย และบาดเจ็บง่าย จนผู้ตัดสินให้ใบเหลืองเขาหลายต่อหลายครั้ง ซึ่ง กุส ฮิดดิงค์ กุนซือทีมสมัยนั้นก็ไม่ปลื้มกับพฤติกรรมนี้ของเขานัก
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยทักษะที่เหนือชั้นและยอดเยี่ยมของเขา ทำให้เขาเป็นที่ต้องการจากตลาดนักเตะทั่วยุโรป ทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , เชลซี , เรอัล มาดริด ซึ่งสุดท้ายเขาก็ได้ย้ายไปยัง สโมสรเชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งผลงานที่เขาทำได้ที่ เปเอสเฟ ไฮน์โอเฟน ได้แก่
• แชมป์เอเรอดีวีซี ในฤดูกาล 2002-03
• แชมป์โยฮัน ครัฟฟ์ ชิลด์ ประจำปี 2003

โด่งดังต่อเนื่องที่ พรีเมียร์ลีก กับ สโมสรเชลซี
ในปี 2004 อาร์เยน ร็อบเบน ได้ย้ายข้ามน้ำข้ามทะเล มาค้าแข้งยังลีกอังกฤษ ในสโมสรเชลซี ซึ่ง โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมสมัยนั้น ปิดดีลกับต้นสังกัดเก่าของเขาด้วยราคากว่า 18 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 760 ล้านบาท เพื่อต้องการนำเขามาเสริมทัพในส่วนของผู้เล่นริมเส้นที่ว่องไว แต่แล้วใน 3 เดือนแรก เขากลับไม่ได้ลงแข่งขัน เนื่องจากได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า และได้ลงสนามครั้งแรก ในเดือนพฤศจิกายน ในปี 2004
แต่เมื่อเขาหายบาดเจ็บ เขาก็ไม่ทำให้ทีมผิดหวัง โดยในฤดูกาล 2004-05 ฤดูกาลแรกของเขากับ ทัพสิงห์บลู เขาสามารถเป็นส่วนสำคัญที่พาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ได้แก่ แชมป์พรีเมียร์ลีก และ ลีก คัพ ในฤดูกาลนั้นมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ต่อเนื่องด้วยคว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก มาครองได้อีกครั้งในฤดูกาล 2005-06 ได้อย่างต่อเนื่อง จนทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลอย่างมาก

หลังจากนั้นในฤดูกาล 2006-07 เขาเริ่มได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง และต้องพักรักษาตัวนาน จนไม่ค่อยได้ลงสนามบ่อยนัก แม้ฝีเท้าและเทคนิคเขาจะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ มูรินโญ่ มองว่าเป็นการทำให้ทีมเสียผลประโยชน์ไปมาก เนื่องจากเขาได้ลงสนามแข่งน้อยเกินไป และมูรินโญ่ ก็ได้ตัดสินใจขายเขาออกจากทีมในปี 2007 โดย ร็อบเบน ฝากผลงานไว้อย่างมากมายกับ ทัพสิงโตน้ำเงินคราม ดังนี้
• แชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย ในฤดูกาล 2004-05 และ ฤดูกาล 2005-06
• แชมป์ลีก คัพ 2 สมัย ในฤดูกาล 2004-05 และ ฤดูกาล 2006-07
• แชมป์เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 2006-07
• แชมป์เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ประจำปี 2005

ย้ายไปเติบโตใน ลาลิกา สเปน กับ ราชันชุดขาว
ในเดือนสิงหาคม ปี 2007 ร็อบเบน ได้ย้ายไปค้าแข้งในถิ่นสเปน กับ สโมสรเรอัล มาดริด สโมสรใน ลาลิกา ลีก ด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 1,000 ล้านบาท ด้วยสัญญาระยะยาว 5 ปี โดย ร็อบเบน กลายเป็นนักเตะค่าตัวแพงในประวัติศาสตร์ของ ราชันชุดขาว อันดับที่ 5
เขาได้ลงทำการแข่งขันในนัดแรกให้กับ เรอัล มาดริด ในเดือนกันยายน 2007 กับศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ในนัดที่พบกับ สโมสรเอสเฟา แวร์เดอร์เบรเมิน (SV Werder Bremen) ซึ่งเขาเป็นส่วนหนึ่งที่พาทีมชนะมาได้ในนัดนี้ด้วยสกอร์ 2-1 และทำประตูแรกของเขาในถิ่นสเปนได้เมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2008 ในศึก ลาลิกา ในนัดที่พบกับ สโมสรเรอัล บายาโดลิด (Real Valladolid) และเอาชนะมาได้ด้วยสกอร์ 7-0 ซึ่งในฤดูกาลแรก เขาทำผลงานไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการเป็นนักเตะที่มีบทบาทในการพาทีมคว้า แชมป์ลาลิกา สเปน ในฤดูกาล 2007-08 มาครองได้อย่างสำเร็จ ซึ่งฤดูกาลแรกนี้ เขาลงเล่นไปทั้งหมด 28 นัด ทำประตูไปได้ 5 ประตู

แต่แล้วในฤดูกาลถัดมา 2008-09 อาการบาดเจ็บจากการปะทะกันในเกมการแข่งขัน ทำให้เขาพลาดการลงสนามไปอีกหลายครั้ง และการเข้ามาของประธานสโมสรคนใหม่ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ที่เน้นกว้านซื้อนักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์ อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ริคาร์โด้ กาก้า ทำให้ทีมจำเป็นต้องขาย ร็อบเบน ออกไป เพื่อตัวเลือกที่ดีกว่า แข้งที่บาดเจ็บบ่อยและไม่ค่อยได้ลงสนาม โดย ร็อบเบน สามารถฝากผลงานไว้กับ ทัพราชันชุดขาว ดังนี้
• แชมป์ลาลิกา ในฤดูกาล 2007-08
• แชมป์ซูเปอร์โกปา เด เอสปาญา ประจำปี 2008

คว้าแชมป์อย่างล้นหลาม และสร้างตำนานที่ บาเยิร์น มิวนิค
อาร์เยน ร็อบเบน ได้ย้ายไปยังสโมสรบาเยิร์น มิวนิค ใน บุนเดสลีกา ลีกสูงสุดของ เยอรมนี ในเดือนสิงหาคม ปี 2009 ด้วยค่าตัว 25 ล้านยูโร หรือราวๆ 900 ล้านบาท เขาเปิดตัวกับ ทัพเสือใต้ ได้อย่างสวยงาม เนื่องจากในฤดูกาลแรก 2009-10 ของเขาในลีกเยอรมัน เขาสามารถยิงประตูได้อย่างมากมายในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แม้ทีมจะไม่เข้ารอบชิงชนะเลิศก็ตาม
ต่อมาในเดือนเมษายน ในปี 2010 การลงแข่งขันศึก บุนเดสลีกา ครั้งแรกของเขา และ ร็อบเบน ก็สามารถทำประตูไปได้ด้วยในนัดนี้ โดยเป็นการพบกับ สโมสรฮันนูเฟอร์ 96 (Hannover 96) ซึ่ง ทัพเสือใต้ เอาชนะไปได้อย่างถล่มทลาย 7-0 และในนัดชิงชนะเลิศ เดือนพฤษภาคม 2010 ร็อบเบน ก็ทำผลงานไว้อย่างยอดเยี่ยม จากการทำประตูให้กับทีมถึง 2 ประตู ในนัดที่ชิงชนะเลิศกับ สโมสรแฮร์ทา เบเอสเซ (Hertha BSC) ซึ่งเขาเป็นผู้เล่นที่พาทีมคว้า แชมป์บุนเดสลีกา ฤดูกาล 2009-10 มาครองได้อย่างสำเร็จ ด้วยสกอร์ 3-1

ซึ่งในสัปดาห์ถัดไป เขาก็ยังคงเป็นนักเตะคนสำคัญในการพาทีมคว้า แชมป์เดเอฟเบ-โพคาล ฤดูกาล 2009-10 มาครองได้อีก 1 รายการ โดยเขาสามารถยิงจุดโทษให้กับทีม จนพาทีมชนะด้วยสกอร์ 4-0 ในนัดที่ชิงชนะเลิศกับ สโมสรเอสเฟา แวร์เดอร์เบรเมิน (SV Werder Bremen) ซึ่งเขาคือ นักเตะชาวต่างชาติคนที่ 4 และ เป็นนักเตะชาวดัตช์คนแรกของสโมสร ที่สามารถคว้ารางวัลนี้มาได้ จนทำให้เขาได้รับรางวัล นักฟุตบอลแห่งปีของประเทศเยอรมัน ไปครองอีก 1 รางวัล โดยในฤดูกาลแรกของเขา เขาลงสนามไปทั้งหมด 37 นัด และทำประตูไปได้ 23 ประตู ถือว่าเปิดตัวให้กับ ทัพเสือใต้ ได้อย่างสวยงามเลยทีเดียว

จนในฤดูกาล 2010-11 มาถึง เขาได้รับบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวายจากเกมในระดับทีมชาติ ทำให้เขาต้องพักยาวถึง 3 เดือน จนทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่าง สโมสรบาเยิร์น มิวนิค กับ สมาคมฟุตบอลประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่ง ทัพเสือใต้ ไม่พอใจที่ ทัพกังหันลม ไม่ถนอมร่างกายของนักเตะ จนกระทั่งเขาได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง ในเดือนมกราคม 2011 ซึ่งในฤดูกาลนี้ก็เป็นฤดูกาลที่ดีของเขาอีก 1 ฤดูกาล เนื่องจากลงสนามไปทั้งหมด 17 นัด และสามารถทำประตูไปได้ถึง 13 ประตู ทำให้ ร็อบเบน ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในรางวัลบัลลงดอร์ (Ballon d’Or) รางวัลที่นักเตะทั่วโลกใฝ่ฝัน ต่อด้วยเข้าชิงรางวัล FIFA Puskás Award จากการยิงประตูที่ดีที่สุดของเขา และเสนอชื่อเข้าชิงทีม FIFPro World XI 2010 รางวัลจาก FIFA อีกด้วย

จนในฤดูกาลหลังๆ เมื่อเขายังคงบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ ร็อบเบน เริ่มหาทางออกในเรื่องอาการบาดเจ็บของเขาอย่างจริงจัง โดยเขาได้ปรึกษากับนักกายภาพบำบัด และพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นเรื่อยๆ และร่างกายของเขาเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น จนทำให้เขาประสบความสำเร็จ และ สามารถคว้าแชมป์ได้อย่างล้นหลามกับ ทัพเสือใต้ ต่อเนื่องแทบจะทุกฤดูกาลที่เขาค้าแข้งยังถิ่นเยอรมัน ดังนี้

• แชมป์บุนเดสลีกา 8 สมัย ได้แก่ ในฤดูกาล 2009–10 , ฤดูกาล 2012–13 , ฤดูกาล 2013–14 , ฤดูกาล 2014–15 , ฤดูกาล 2015–16 , ฤดูกาล 2016–17 , ฤดูกาล 2017–18 , ฤดูกาล 2018–19
• แชมป์เดเอฟเบ-โพคาล 5 สมัย ได้แก่ ในฤดูกาล 2009–10 , ฤดูกาล 2012–13 , ฤดูกาล 2013–14 , ฤดูกาล 2015–16 , ฤดูกาล 2018–19
• แชมป์ดีเอฟแอล ซุปเปอร์ คัพ 5 สมัย ได้แก่ ปี 2010 , ปี 2012 , ปี 2016 , ปี 2017 , ปี 2018
• แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาล 2012–13
• แชมป์ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ ในปี 2013

แขวนสตั๊ดกับสโมสรอาชีพแรกในชีวิต
อาร์เยน ร็อบเบน ประกาศอำลาวงการลูกหนังไปเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ปี 2019 จนกระทั่งปีถัดไป วันที่ 27 มิถุนายน ปี 2020 เขาได้ประกาศเซ็นสัญญากับสโมสรอาชีพแรกในชีวิตของเขาอย่าง สโมสรโกรนิงเงิน (Groningen) แต่แล้วด้วยวัย และอาการบาดเจ็บที่กลับมารบกวนเขาอีกครั้ง ทำให้เขาลงเล่นไปได้แค่ 7 นัด และไม่มีประตูเกิดขึ้น ตลอดฤดูกาล 2020-21
จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม ปี 2021 เขาได้ประกาศ แขวนสตั๊ด ผ่านเว็บไซต์หลักของสโมสรอย่างเป็นทางการ ปิดตำนานปีกความเร็วสูง ผู้ค้าแข้งในหลายลีกชั้นนำของยุโรป และผู้ครองแชมป์ได้อย่างมากมาย ด้วยวัย 37 ปี กับสโมสรที่เขาเคยแจ้งเกิด
