
แอชลีย์ คอลเลนเดอร์ โคล (Ashley Callender Cole) หรือ แอชลีย์ โคล ที่แฟนบอลทั่วโลกรู้จัก อดีตนักเตะคนดังในยุค 90 ตำนานแบ็คซ้ายที่เก่งกาจมากที่สุดคนหนึ่งของ พรีเมียร์ลีก และของ สโมสรเชลซี แต่เป็นตำนานคนทรยศ ที่แฟนบอล อาร์เซนอล ทั้งรักและเกลียดในคราวเดียวกัน
แอชลีย์ โคล เกิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ในปี 1980 เกิดและเติบโตที่เมืองสเต็ปนีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แม่ของเขาชื่อว่า ซู โคล (Sue Cole) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของ มารายห์ แครีย์ ส่วนพ่อของเขาชื่อว่า รอน คอลเลนเดอร์ (Ron Callender) ซึ่งอพยพมาจากประเทศบาร์เบโดส ซึ่งเขามีพี่ชาย 1 คน ชื่อ แมธธิว และเมื่อเขาอายุได้ประมาณ 7 ขวบ พ่อกับแม่ของเขาก็ได้แยกทางกัน ซึ่งชีวิตในวัยเด็กของเขาค่อนข้างลำบากมาก
แอชลีย์ โคล กับเส้นทางลูกหนังที่ สโมสรอาร์เซนอล
แอชลีย์ โคล เริ่มต้นเข้าสู่วงการลูกหนังจากการเข้าฝึกใน อคาเดมีของสโมสรอาร์เซนอล ในปี 1997 ซึ่งเป็นสโมสรชื่อดังในกรุงลอนดอน ที่เขาเกิดและเติบโต โดยในขณะนั้นเขามีอายุ 17 ปี ซึ่งเขาก็แสดงศักยภาพออกมาได้อย่างโดดเด่น จนเข้าตา อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีมสมัยนั้น ซึ่งเขาฝึกเป็นนักเตะในทีมเยาวชนของ อาร์เซนอล ได้เพียง 1 ฤดูกาล
จนในปี 1998 เวนเกอร์ ได้เห็นแววเก่งของเขา จึงเลือกให้ โคล เลื่อนขั้นขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสร โดยในเดือนพฤศจิกายน ปี 1999 เขาลงแข่งขันเป็นครั้งแรกในนามนักเตะชุดใหญ่ในศึก ลีก คัพ (คาราบาว คัพ ในปัจจุบัน) ซึ่งในขณะนั้นเขาอายุได้ 19 ปี และถึงแม้ว่าในเกมนัดนั้น อาร์เซนอล จะเป็นทีมที่พ่ายแพ้ให้กับ สโมสรมิดเดิลสโบรห์ แต่ว่าฟอร์มอันโดดเด่นของ โคล ก็ประทับใจกุนซือประจำทีมอย่างมาก จนถึงขั้นมอบสัญญาอาชีพฉบับแรกให้กับ แอชลีย์ โคล ในอีก 3 เดือนถัดไปนับจากเกมแรกที่เขาลงแข่งขัน นั่นก็คือในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2000

ซึ่งในปี 1999 ในฤดูกาลที่ 1999-00 เขาได้ถูก สโมสรคริสตันพาเลซ ยืมตัว ด้วยสัญญายืมตัวในระยะสั้น ไปเล่นเป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่ง โคล ลงสนามให้กับ คริสตันพาเลซ ไปทั้งหมด 14 นัด ทำประตูไปได้ 1 ประตูด้วยกัน
จนกระทั่งในปี 2000 เมื่อเขากลับมายังสโมสรต้นสังกัด เขาได้ลงเล่นในศึก พรีเมียร์ลีก ให้กับสโมสรเป็นครั้งแรก เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2000 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการแข่งขันในฤดูกาล 1999-00 โดยเป็นนัดที่พบกับ สโมสรนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่ง ทีมเดอะ กันเนอร์ เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 4-2

ซึ่งในฤดูกาลใหม่ 2000-01 เรียกได้ว่าเป็นฤดูกาลของ โคล เลยก็ว่าได้ เมื่อเขาได้รับการไว้วางใจจาก เวนเกอร์ ให้ลงสนามเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม และยังเป็นปีที่เขาได้เรียนรู้ทักษะดีๆต่างๆจากแข้งรุ่นพี่อย่าง ปาทริค วิเอร่า , เดวิด ซีแมน เป็นต้น อีกด้วย
ซึ่ง แอชลี่ย์ โคล เป็นนักเตะในตำแหน่งกองหลัง ซึ่งเป็นแข้งกำลังหลักของทีม โดยเขามีฤดูกาลที่ดีมากมายกับ อาร์เซนอล ตั้งแต่ในทีมเยาวชน จนถึงทีมชุดใหญ่ (ปี 1997-2006) โดยผลงานของเขากับ สโมสรอาร์เซนอล มีมากมาย ซึ่งเขาสามารถคว้าแชมป์ในรายการ พรีเมียร์ลีก มาได้ 2 สมัย ในฤดูกาล 2002-03 และในฤดูกาล 2004-05 และแชมป์ในรายการ เอฟเอ คัพ มาได้ 3 สมัย ในฤดูกาล 2002-03 ในฤดูกาล 2003-04 และในฤดูกาล 2005-06 และเป็นรองแชมป์ในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาล 2005-06 ซึ่งเขาลงเล่นในสีเสื้อของปืนใหญ่ไปทั้งหมด 228 นัด และสามารถทำประตูไปได้ถึง 9 ประตูด้วยกัน

แอชลีย์ โคล กับเส้นทางลูกหนังที่ สโมสรเชลซี
แอชลีย์ โคล ต้องทำให้แฟนบอล เดอะ กันเนอร์ ต้องผิดหวังในตัวเขาอย่างมาก เมื่อเขาแอบเจรจาย้ายทีมแบบส่วนตัวกับ โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการของเชลซีในขณะนั้น ในช่วงปี 2005 เนื่องจาก เขาต้องการมีความก้าวหน้า และต้องการจำนวนเงินค่าตัวที่เพิ่มขึ้น เพื่อเทียบเท่าแข้งระดับซุปเปอร์สตาร์ของสโมสรอื่น ซึ่งจำนวนเงินที่เขาได้จาก อาร์เซนอล นั้นเป็นจำนวนที่น้อยมาก ถ้าเทียบกับแข้งกำลังหลักระดับแนวหน้าของทีมอื่น ซึ่งเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป แน่นอนว่าแฟนบอลปืนใหญ่ โกรธเขามาก ถึงขั้นเรียกเขาว่า คนหน้าเงินบ้าง คนทรยศบ้าง

ซึ่งเมื่อถึงช่วงซัมเมอร์ ในปี 2006 โคล หมดสัญญากับ ทีมอาร์เซนอล และเขาได้ย้ายมาร่วมทีมใหม่ ซึ่งเป็นทีมร่วมเมืองลอนดอนกับอาร์เซนอล อย่าง เชลซี โดยเขาย้ายมาที่ เชลซี ด้วยค่าตัวแค่ 5 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 210 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมากๆ โดยโคลได้รับมอบให้สวมเสื้อหมายเลข 3 ของทีม และในขณะนั้น เค้าต้องแย่งชิงพื้นที่ตัวจริงกับ เวย์น บริดจ์ ซึ่งเล่นในตำแหน่งเดียวกันกับเขา

จนกระทั่งในเดือนกันยายน ปี 2006 โคล ได้โอกาสลงเล่นให้กับ สโมสรเชลซี เป็นครั้งแรก ในฐานะนักเตะตัวสำรองแทน บริดจ์ ในนัดที่พบกับ สโมสรชาร์ลตัน แอธเลติก ซึ่ง เชลซี ก็เอาชนะมาได้ด้วยสกอร์ 2-1 ซึ่งในเกมถัดไปในช่วงเดือนกันยายนเช่นกัน เขาได้ลงแข่งขันเป็นตัวจริงให้กับสโมสรเป็นครั้งแรก ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในนัดที่พบกับ สโมสรแวร์เดอร์ เบรเมน และเอาชนะมาได้อีกเช่นเคย ซึ่งในฤดูกาลแรก 2006-07 ของเขาที่เชลซี ด้วยอาการที่บาดเจ็บ ทำให้เขาไม่สามารถโชว์ศักยภาพของเขาได้อย่างเต็มที่นัก
ซึ่งในฤดูกาล 2007-08 อาการบาดเจ็บของเขาเริ่มดีขึ้น ได้รับโอกาสในการลงสนามบ่อยครั้ง และประตูแรกของเขากับ เชลซี ก็เกิดขึ้นในนัดที่บุกไปเยือน สโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด และเอาชนะมาได้ด้วยสกอร์ 4-0 ซึ่ง 1 ในนั้นคือประตูจาก แอชลีย์ โคล ด้วย ซึ่งปิดฤดูกาลนี้ด้วยตำแหน่ง รองแชมป์ในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในนัดที่พบกับ สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเสมอกันในเวลา และยิงจุดโทษ ซึ่ง โคล ก็สามารถยิงประตูให้กับทีมได้ แต่ทว่าในเกมนี้ แมนยู เป็นฝ่ายชนะ

ถัดมาในฤดูกาล 2008-09 เขาสามารถคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาได้ จากการเอาชนะ สโมสรเอฟเวอร์ตัน มาได้ด้วยสกอร์ 2-1 ซึ่งในฤดูกาลนั้น เขาได้รับการโหวตจากเพื่อนนักเตะให้ได้รับ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรเชลซี อีกด้วย นอกจากนี้ เขายังลงเล่นให้กับ เชลซี ถึง 49 นัด ซึ่งมากที่สุดในทีมในฤดูกาลนี้อีกด้วย
จนในฤดูกาล 2009-10 เขายังเป็นนักเตะคนสำคัญที่ทำให้ทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก และแชมป์ เอฟเอ คัพ มาได้ถึง 2 รายการ หรือ ดับเบิ้ลแชมป์ ได้ในฤดูกาลนี้ ถัดมาในฤดูกาล 2010-11 เขาคือนักเตะที่ลงเล่นในเกมลีกทุกนัด ส่วนในฤดูกาลที่ 2011-12 ก็ยังเป็นฤดูกาลของ ดับเบิ้ลแชมป์ โดยเขามีส่วนร่วมกับทีมในการคว้าแชมป์ในรายการ เอฟเอ คัพ ด้วยการเอาชนะ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ในรายการนี้ครั้งที่ 7 ของเขา และ แชมป์ในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยการเอาชนะ สโมสรบาเยิร์น มิวนิค มาครองปิดฤดูกาลได้อย่างสวยงาม

ถัดมาในฤดูกาล 2012-13 ในวันที่ 1 เดือนธันวาคม ปี 2012 แอชลีย์ โคล ลงสนามเล่นในศึก พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งที่ 350 ของเขากับสโมสรในเกมที่ไปเยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ต่อมาในเดือนมกราคม ปี 2013 เขาได้ทำการต่อสัญญากับต้นสังกัดเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งทำให้ช่วงท้ายฤดูกาล เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า ยูโรปาลีก มาครองได้อีกหนึ่งรายการด้วย ซึ่งเป็นการเอาชนะบ สโมสรเบนฟิก้า มาได้ โดยในฤดูกาลนี้ เขาลงสนามไปทั้งหมด 51 นัด จากทั้งหมดทุกรายการ 69 นัด

ต่อมาในฤดูกาล 2013-14 ซึ่งเป็นฤดูกาลของเขากับ เชลซี เขาได้ลงเล่นน้อยมาก เนื่องจากสโมสรได้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า มาลงเล่นแทนที่เขา และ โคล ได้รับการสวมปลอกแขนเป็นกัปตันทีมในวันสุดท้าย ในนัดที่พบกับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ซึ่งเขาสามารถพาทีมเอาชนะมาได้ด้วยสกอร์ 2-1 และสัญญาของเขากับ เชลซี ก็หมดลงในวันที่ 30 มิถุนายน ในปี 2014 ซึ่งเขาลงสนามให้กับถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ไปกว่า 338 นัด ทำประตูไปได้ 7 ประตู

แอชลีย์ โคล กับเส้นทางลูกหนังที่ สโมสรโรมา
ในวันที่ 4 กรกฎาคม ปี 2014 แอชลีย์ โคล ในวัย 33 ปี เซ็นสัญญา 2 ปี กับสโมสรโรมา สโมสรในเซเรียอา ลีกดังในอิตาลี ซึ่งเขาลงเล่นให้กับสโมสรโรมา เป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ปี 2014 ในศึกเซเรียอา ในนัดที่พบกับ ฟิออเรนติน่า ด้วยการเอาชนะมาได้ 2-0 ซึ่งในนัดนี้ โคล ลงสนามเป็นตัวจริงและเล่นจนครบเวลา 90 นาที อีกด้วย จนกระทั่งในเดือนมกราคม ปี 2016 แอชลีย์ โคล ทำการยกเลิกสัญญากับ โรมา ซึ่งเท่ากับว่าเขาค้าแข้งอยู่ในอิตาลีไป 2 ฤดูกาล ตั้งแต่ปี 2014-2016 ซึ่งเขาลงสนามให้กับต้นสังกัดไปทั้งหมด 11 นัด และไม่มีประตูเกิดขึ้นที่นี่

แอชลีย์ โคล กับเส้นทางลูกหนังที่ สโมสรแอลเอ กาแลคซี่
แอชลีย์ โคล เซ็นสัญญาค้าแข้งกับ สโมสรแอลเอ กาแลคซี่ สโมสรในลีก เมเจอร์ลีกซอกเกอร์ ในวันที่ 27 มกราคม ปี 2016 ซึ่งเขาได้ลงเล่นเป็นครั้งแรกให้กับสโมสรในเดือนกุมภาพันธ์ 2016 ในศึกคอนคาเคฟ แชมเปี้ยนส์ลีก นัดที่พบกับ สโมสรซานโตส ลากูน่า ซึ่งประตูแรกที่เขาทำได้ในถิ่นใหม่ เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2016 ซึ่งเขาทำประตูตีเสมอให้กับต้นสังกัด ในนัดที่พบกับ สโมสรนิวยอร์ก เรดบูลล์ส ซึ่งเขาหมดสัญญากับสโมสรแอลเอ กาแลคซี่ เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2017-18 ในปี 2018

แอชลีย์ โคล กับเส้นทางลูกหนังที่ สโมสรดาร์บี้ เคาน์ตี้
แอชลีย์ โคล เซ็นสัญญาเข้าร่วมค้าแข้งกับ ทีมแกะเขาเหล็ก เมื่อวันที่ 21 มกราคม ปี 2019 จากการชักชวนของ แฟรงค์ แลมพาร์ด อดีตเพื่อนร่วมทีมเชลซี ซึ่งเป็นเพื่อนรักของเขา ซึ่งเขาเซ็นสัญญากับทีมเป็นเวลา 1 ฤดูกาล 2018-19 และเขาประกาศแขวนสตั๊ดที่ในสโมสรนี้ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ในปี 2019

แอชลีย์ โคล กับเส้นทางสายอาชีพโค้ช
ในปี 2021 แอชลีย์ โคล ในวัย 40 ปี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยโค้ช ให้กับทีมเยาวชนของทีมชาติอังกฤษ ในรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี (U-21) ซึ่งเป็นบทบาทใหม่ในสายอาชีพฟุตบอลของเขา ซึ่งเขายังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยโค้ชให้กับ อคาเดมีของเชลซี ให้กับทีมเยาวชนของเชลซี ในรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี (U-15) อีกด้วย
ต่อมาในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ปี 2022 แฟรงค์ แลมพาร์ด ซึ่งในขณะนี้รับหน้าที่เป็นกุนซือให้กับ สโมสรเอฟเวอร์ตัน ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า เขาได้ชักชวนให้ แอชลีย์ โคล มาร่วมงานเป็นหนึ่งในทีมสตาฟโค้ชของ ทัพทอฟฟี่สีน้ำเงิน ซึ่งแอชลีย์ โคล เองก็พึงพอใจในเส้นทางสายอาชีพนี้ และเขากล่าวว่า พร้อมพาทีม เอฟเวอร์ตัน ประสบความสำเร็จต่อไปในอนาคต
